Etiam placerat

Encuesta

ผู้ติดตาม

เส้นทางอันแสนยากเย็นสู่การเป็นหมอ

อ่าาา เรามาเริ่มเรื่องกันเลยดีกว่าน่ะครับ บทความต่อไปนี้น่ะคับ ผมก็ไม่ได้ทำเองทั้งหมด ไปเอามาจากทั้งเว็ปไซด์ของคนอื่นๆๆๆ มาด้วยแหละครับ ท่าผิดพลาดยังงัยก้อชออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยน่าาาครับ

งานที่หลายคนไฝ่ฝันอาชีพ หมอ หรือแพทย์หรือนายแพทย์
ผมเองก็เคยฝันไว้เหมือนกันแต่ว่าการเรียนต้องขยันแล้วก็มีความรู้
เยอะครับ เก่งหลายด้าน ผมว่ากว่าจะสอบเป็นหมอได้ไม่ง่ายเหมือนกันครับ
ลองมาดูความหมายและความรู้เกี่ยวกับคุณหมอนะครับ

แพทย์ (อังกฤษ: physician, doctor) หรือเรียกเป็นภาษาพูดว่า “หมอ”
ในบางพื้นที่ตามชนบทแพทย์อาจถูกเรียกเป็น “หมอใหญ่” เพื่อเลี่ยง
ความสับสนกับการเรียกพยาบาลหรือเจ้าหน้าที่ทางด้านสาธารณสุขต่างๆ
แพทย์มีหน้าที่ ซักถามประวัติ ตรวจร่างกาย และส่งตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม
เพื่อสั่งการรักษาหรือให้การรักษาโรค ส่งเสริมฟื้นฟูสุขภาพ ให้กับผู้ป่วย
ร่วมกับบุคลากรด้านสุขภาพอื่นๆ

การเข้าศึกษาแพทยศาสตร์

ปัจจุบันมีหน่วยงานชื่อว่า กลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย (กสพท.)
ทำหน้าที่จัดสอบคัดเลือกและประกาศผลนักเรียนที่จบการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่หก
เพื่อเข้ารับการศึกษาในคณะแพทยศาสตร์ต่างๆ ทั่วประเทศ และมีการรับนักเรียน
ตามโครงการต่างๆ อีกหลายโครงการ

การเรียนแพทยศาสตร์

การเรียนแพทยศาสตร์ในประเทศไทยใช้เวลาเรียน 6 ปี ปีแรกเรียนวิทยาศาสตร์ทั่วไป
เน้นเกี่ยวข้องทางชีววิทยา ปีที่ 2-3 เรียนวิชาที่เกี่ยวข้องทางการแพทย์ เรียกระยะนี้ว่า
ปรีคลินิก (Preclinic) ปีที่ 4-5 เรียนและฝึกงานผู้ป่วยจริงร่วมกับแพทย์รุ่นพี่และอาจารย์
เรียกระยะนี้ว่า ชั้นคลินิก (Clinic) และปีสุดท้ายเน้นฝึกปฏิบัติกับผู้ป่วยจริงภายใต้
การดูแลของแพทย์รุ่นพี่และอาจารย์เรียกระยะนี้ว่า เอกซ์เทอร์น (Extern)

แพทย์จบใหม่ในประเทศไทย

เมื่อนักเรียนแพทย์ในประเทศไทยศึกษาจบแพทยศาสตร์บัณฑิต บัณฑิตแพทย์ต้องมีการทำงาน
หรือการชดใช้ทุนของแพทย์เป็นเวลา 3 ปี โดยกำหนดให้ทำงานให้รัฐบาล ซึ่งหากผิดสัญญาต้อง
จ่ายค่าชดเชยให้รัฐตามแต่สัญญาซึ่งทำไว้ตั้งแต่ก่อนเข้ารับการศึกษากำหนด ในปีแรกแพทยสภา
กำหนดให้มีการฝึกปฏิบัติงานเพิ่มเติมในโรงพยาบาลใหญ่ๆ ภายใต้การดูแลของแพทย์รุ่นพี่ที่มี
ประสบการณ์เป็นเวลา 1 ปี ซึ่งเรียกระยะนี้ว่า อินเทอร์น (Intern)

แพทย์เฉพาะทาง

หลังจากที่บัณฑิตแพทย์สำเร็จการศึกษาออกมาและได้เพิ่มพูนทักษะตามจำนวนปีที่แพทยสภา
(Medical concils of Thailand) เป็นผู้กำหนดแล้ว สามารถสมัครเพื่ออบรมเป็นแพทย์ประจำบ้าน
(Medical Resident) และเมื่อจบหลักสูตรการอบรมและสามารถสอบใบรับรองจากราชวิทยาลัยแพทย์ต่างๆ
ได้แล้ว จึงจะได้เป็นแพทย์เฉพาะทางได้ต่อไป

สาขาของแพทย์เฉพาะทาง

* อายุรแพทย์ – แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านอายุรศาสตร์
* สูตินรีแพทย์ – แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสูตินรีเวชวิทยา
* ศัลยแพทย์ (Surgeon) – แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยศาสตร์
* จักษุแพทย์ (Opthalmologists) – แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านจักษุวิทยา
* จิตแพทย์ – แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตเวชศาสตร์
* แพทย์โสตศอนาสิก – แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโสตศอนาสิกวิทยา
* พยาธิแพทย์ – แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านพยาธิวิทยา
* รังสีแพทย์ – แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านรังสีวิทยา
* วิสัญญีแพทย์ (Anesthesiologists/Anesthetist) – แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านวิสัญญีวิทยา
* กุมารแพทย์ (Pediatrics) – แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกุมารเวชศาสตร์
* แพทย์เวชปฏิบัติครอบครัว (Family Medicine) – แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชปฏิบัติครอบครัว
* แพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู- แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟู
* แพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉิน- แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ฉุกเฉิน

น่าจะเริ่มเรียนกันอย่างนี้น่ะคับ
เมื่อแรกเริ่มเข้าเรียนในระยะเตรียมแพทย์ วิชาที่เรียนก็จะยังคล้ายๆ กับการเรียนมัธยมปลาย แต่เนื้อหาอาจลึกลงไปทางด้านวิทยาศาสตร์มากกว่า เด็กที่เรียนดีมาแล้วจากชั้นมัธยมจะรู้สึกว่าไม่ยากเย็นอะไรที่จะเข็นตัวเอง ให้ผ่านไปได้สบายๆ (ไม่ต้องตั้งใจเรียนเพื่อเอาเกียรตินิยมหรอก ก็เข้าแพทย์ได้แล้วนี่) แต่ในบางช่วงของการเรียนเด็กบางคนก็อาจเปลี่ยนไปเป็นเด็กที่เรียนตกแล้วตก อีกได้อย่างไม่น่าเชื่อเลยว่าเคยเป็นเด็กที่เรียนดีมากๆ มาก่อน บางคนถึงกับโดนให้ออกเพราะเรียนหลายปีเกินไปก็ยังเรียนไม่จบ (มักโดนเพื่อนแซวลับหลังว่าเรียนละเอียด) ช่วงแรกนี้ใช้เวลาแค่ 1-2 ปี

ต่อมาเป็นช่วงพรีคลินิก(
preclinic) หรือเรียกกันติดปากว่า ข้ามฟาก สาเหตุสมัยก่อนต้องข้ามไปเรียนที่โรงพยาบาลศิริราชเพียงที่เดียว ใช้เวลาอีก 2 ปี เป็นการเรียนปูพื้นฐานเกี่ยวกับโรคต่างๆ เรียนกายวิภาค เรียนเภสัชวิทยาเป็นต้น ช่วงจะเริ่มเรียนค่อนข้างหนัก วิชาที่เรียนจะใช้การท่องจำค่อนข้างมาก เด็กที่ไม่ชอบเรียนแบบท่องจำอาจจะเบื่อ มีการสอบบ่อยมาก ต้องนอนดึกกันเป็นประจำ

ช่วงคลินิก คือปีที่ 4-5-6 จะเรียน ทฤษฏีควบคู่ไปกับการเรียนปฏิบัติกับผู้ป่วย มีการแจกผู้ป่วยจริงให้ไปดูแล ตั้งแต่ซักประวัติ ตรวจร่างกายตามที่ได้ร่ำเรียนมา อาจช่วยตรวจทางห้องปฏิบัติการเช่นตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ จากนั้นก็เขียนรายงาน วิจารณ์ ค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการวินิจฉัยและการรักษาโรคนั้นๆ ช่วงนี้เป็นการเรียนที่หนักมากขึ้นไปอีก ต้องอยู่หอพัก แทบจะต้องตัดขาดจากทางบ้านโดยสิ้นเชิง เด็กที่ไม่เหมาะกับอาชีพนี้จะเริ่มรู้สึกได้ในช่วงนี้ เมื่อมีการเรียนหรือการทำงานที่ไม่มีกำหนดเวลาแน่นอน อาจถูกตามไปรับผู้ป่วยใหม่เวลาตี 2 ตี 3 ซึ่งเป็นเวลาที่ควรจะได้หลับสบาย อาจต้องอยู่ทำงานในวันหยุดซึ่งใครๆ ก็ได้หยุดไปเที่ยวกัน เวลาปิดเทอมอาจจะสั้นมากหรือบางทีก็ไม่มีเลย

อย่างไรก็ตาม ลักษณะการเรียนในปัจจุบันนี้ได้เปลี่ยนแปลงไปมาก ค่อนข้างจะเป็นการผสมผสานระหว่างวิชาต่างๆ มากขึ้นในลักษณะการแก้ปัญหาเป็นพื้นฐาน(
problem based learning)

ช่วงฝึกงาน (
extern หรือ intern) เป็น ช่วงการปฏิบัติงานจริงกับผู้ป่วยจริง ต้องรับผิดชอบชีวิตของผู้ป่วย โดยอยู่ในความควบคุมของอาจารย์และแพทย์ประจำบ้านซึ่งทำหน้าที่เหมือนพี่ เลี้ยง ช่วงนี้ก็งานหนักมาก อาจต้องอยู่เวรวันเว้นวัน แต่กลางวันก็ไม่ได้หยุดพักผ่อน บางครั้งอยู่เวรกลางคืนไม่ได้นอนทั้งคืนแล้วกลางวันก็ยังต้องออกตรวจคนไข้ หรือช่วยผ่าตัด รวมๆ แล้วอาจจะเป็น 36 ชั่วโมงที่ไม่ได้นอนเลย

วัน หยุดของแพทย์ไม่ใช่วันที่จะตื่นสายๆ แล้วไม่ต้องออกไปทำงานเลย แต่ยังต้องออกไปตรวจเยี่ยมผู้ป่วยเหมือนวันธรรมดา หรือที่เรียกกันว่าไป
round ward (ก็ถ้าคุณไม่ไปดูแล้วจะให้ใครไปดูล่ะ) ซึ่งบางทีกินเวลาเข้าไปครึ่งค่อนวัน ถ้าจะไปเที่ยวกับครอบครัวหรือธุระอื่นๆ ก็อาจจะฝากเพื่อนแพทย์ดูแลได้บ้างเป็นครั้งคราว แต่จะฝากคนอื่นบ่อยๆ ก็ไม่ใช่สิ่งที่พึงปฏิบัติเนื่องจากการรักษาอาจจะไม่ต่อเนื่องผู้ป่วยเองก็ มักจะไม่ค่อยพึงใจนักกับการที่เปลี่ยนหน้าหมอมารักษา

ไม่ว่าแพทย์จะ ไปที่ไหน ทำอะไรอยู่ ก็มีสิทธิ์ถูกตามมาดูผู้ป่วยได้ทุกเมื่อ บางทีต้องยกเลิกโปรแกรมที่จะพาครอบครัวไปเที่ยว ขับรถไปแล้วครึ่งทางก็ต้องขับกลับมาถ้าผู้ป่วยเกิดมีปัญหา(แพทย์ที่ดีต้อง เสียสละความสุขส่วนตนและของครอบครัวได้) การทำงานหนัก ขาดการพักผ่อนดูแลตัวเองย่อมทำให้สุขภาพทรุดโทรม เกิดความเครียด จึงพบว่าแพทย์ไทยมีอายุขัยเฉลี่ยสั้นกว่าคนทั่วไปหลายปี

รายได้ของ แพทย์ถูกจำกัดด้วยกำลังกายและเวลา จึงไม่สามารถร่ำรวยได้มากนัก ทุกบาททุกสตางค์ต้องใช้แรงงานเข้าแลก หากรับราชการเพียงอย่างเดียวจนเกษียณจะไม่มีโอกาสมีเงินเก็บพอซื้อบ้านดีๆ สักหลัง รถสักคันได้ แพทย์ส่วนใหญ่จึงมักเลือกที่จะใช้เวลาว่างที่เหลืออยู่จำกัดนี้หารายได้ พิเศษด้วยการเปิดคลินิก หรือทำงานในโรงพยาบาลเอกชน ทำให้ขาดการหยุดพักผ่อนมากขึ้นไปอีก

ปัญหาการฟ้องร้องแพทย์ที่มีมาก ขึ้นในปัจจุบันนี้ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้แพทย์หลายๆ คนท้อแท้ บางคนกันเหไปทำอาชีพอื่น บางคนห้ามลูกของตัวเองไม่ให้เรียนแพทย์ บางคนหาทางออกโดยการทำประกันแบบเดียวกับแพทย์ในต่างประเทศ(
malpractice insurance) ซึ่งทำให้ค่ารักษาพยาบาลเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย

เมื่อคุณรับทราบข้อมูลเหล่านี้แล้วยังยืนยันว่าต้องการเป็นหมอให้จงได้อยู่ก็จงสำรวจตัวของคุณเกี่ยวกับคุณสมบัติต่อไปนี้

1. ความ ถนัดทางวิชาเฉพาะที่ใช้ในการสอบเข้ามหาวิทยาลัย ได้แก่วิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ทุกสาขา ภาษาอังกฤษ อาจมีวิชาภาษาไทย สังคมศึกษาด้วย ปัจจุบันโรงเรียนแพทย์เกือบทุกแห่งจะแยกสอบเอง โดยไม่ผ่านระบบ entrance และมีจำนวนโรงเรียนแพทย์ให้เลือกมากขึ้น เท่าที่พอจะนึกออกได้แก่ จุฬาฯ ศิริราช รามาฯ เชียงใหม่ ขอนแก่น สงขลา พระมงกุฎ มศว. ธรรมศาสตร์ นเรศวร และมหาวิทยาลัยเอกชนที่มีคณะแพทย์ ก็ได้แก่ มหาวิทยาลัยรังสิต ซึ่งเสียค่าใช้จ่ายประมาณ 2-3 แสนต่อปี (ไม่รวมค่าใช้จ่ายส่วนตัว) และคณะแพทย์ใหม่ล่าสุดที่กำลังจะก่อตั้งก็คือ แม่ฟ้าหลวง

2. อุปนิสัย ส่วนตัว เป็นคนขยัน อดทนสู้งานหนัก อดนอนได้ ไม่โห ฉุนเฉียว มีความเมตตามีคุณธรรม (เพราะสังคมคาดหวังจะให้แพทย์เป็นเช่นนั้น)

3. ความ เป็นลูกแหง่ติดพ่อแม่ ต้องไปอยู่หอพักระหว่างเรียน ต้องออกต่างจังหวัดระหว่างฝึกงาน ระหว่างใช้ทุนรัฐบาล (3 ปี) จะทนได้หรือไม่ สำรวจใจของพ่อแม่เองด้วยว่าทนให้ลูกไปอยู่ห่างไกลได้นานๆ หรือไม่ มีส่วนหนึ่งที่ทั้งพ่อแม่และลูกทนไม่ไหวต้องจ่ายเงินชดเชยให้รัฐบาล(ประมาณ 4 แสนบาท) เพื่อแลกอิสรภาพของลูกกลับคืนมา

หมอเค้าเรียนกันยังไง ใครอยากเป็นหมอลองอ่านดู

บทความนี้ไม่ได้เขียนเอง ไปเจอมาจาก http://www.triamudom.org/ คุณทหารผ่านศึกเขาเขียนไว้จากประสบการณ์จริง ผมก็เลยอยากให้เพื่อนๆที่อยากเป็นหมอ มาลองอ่านว่าจะเป็นยังไงกัน


ความ กดดันเวลาเป็นนักเรียนแพทย์นี่ยังมีอีกเยอะครับ….อืมมม…พี่ลองเขียนเท่าที่ คิดออกก็แล้วกันนะครับ น้อง ๆ หมอคนอื่น ๆ ใครคิดออกก็เพิ่มเติมกันได้เลยนะครับ พี่ว่าดีเหมือนกันที่ให้น้อง ๆ ม.ปลายได้รู้ตรงนี้ไว้บ้าง จะได้ทราบว่าเรียนแพทย์ไม่ได้มีแต่ด้านสวยงามเหมือนความฝันครับ

- เรียนเยอะกว่าคนอื่น เวลาพักผ่อนน้อย (มีคณะไหนครับที่เรียนตั้งแต่ก่อน 7 โมงเช้า เลิกเรียนแล้วแต่ บางวันก็ 1-2 ทุ่ม แถมมีอยู่เวรทั้งครึ่งคืนและตลอดคืน)
- ไม่มีวันหยุดอีกต่อไป ไม่ว่าสุดสัปดาห์ ปิดเทอม หรือนักขัตฤกษ์ (มีก็นิดหน่อย หรือไม่ก็ยังคงต้องไปทำงาน/อยู่เวร)
- เด็กต่างจังหวัด อดกลับบ้านเน้อ…(ดูแลพ่อแม่คนอื่น แต่พ่อแม่ตัวเองนี่หาเวลาไปดูแลยากมาก)
- เรียนหนัก จ่ายหนัก (ค่าเล่าเรียนแพง ตำราแพทย์นี่ แต่ละเล่มหนา แพง ทั้งนั้น ไหนจะต้องทำรายงาน ค้นอินเตอร์เน็ต ซีร็อกซ์ชีท)
- เสี่ยงชีวิต…ไม่ได้พูดเล่นนะ ในชั้นคลินิกที่น้องต้องฝึกเจาะเลือด ฉีดยา แทงน้ำเกลือ เจาะน้ำไขสันหลัง เข้าช่วยผ่าตัด ทำคลอด เย็บแผล เก็บเสมหะ อุจจาระ ปัสสาวะ ฯลฯ ล้วนแต่มีโอกาสติดเชื้อได้ทั้งสิ้น แม้ว่าจะป้องกันอย่างดี แต่อุบัติเหตุก็สามารถเกิดขึ้นได้เสมอครับ ตัวอย่างมีมากมาย…และเชื้อโรคที่น่ากลัวนี่ ไม่ต้องบอกก็คงพอนึกกันออกใช่มั้ยครับ

ความคาดหวังจากครอบครัวและสังคม เป็นความกดดันที่หนักหนาเอาเรื่องเลยครับ (คนเป็นหมอต้องเก่ง ดี รู้จักกาลเทศะเสมอ ทำอะไรถ้าผิดพลาดจะถูกจับตามองและตำหนิมากกว่าคนอื่นหลายเท่า จะได้ยินบ่อยมากกว่า “เป็นถึงนักเรียนแพทย์” “หมอไม่น่า…” ฯลฯ ถูกยกเป็นตัวอย่าง เปรียบเทียบกับคนอื่น ๆ ฯลฯ)
- ความกดดันจากผู้ป่วยและญาติบางคน ที่เห็นเราเป็นนักเรียนแพทย์ บางครั้งก็จะไม่เชื่อถือในความรู้ความสามารถ เกิดการลองภูมิ หรือไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำ
- งานที่นักเรียนแพทย์ต้องฝึกทำ มีหลายอย่างที่ปกติถ้าไม่มีนักเรียนแพทย์ พยาบาลก็ต้องเป็นคนทำ บางทีแทนที่พยาบาลจะคิดว่ามีนักเรียนแพทย์ขึ้นมาแล้วช่วยให้งานเบาลง จะกลายเป็นทำให้น้องรู้สึกว่าถูกใช้งานแทน และก็อย่างที่น้องบอกไว้ว่าบางครั้งก็จะมีการระบายอารมณ์กันอีกด้วย
- ในนักเรียนแพทย์บางคน จะขาดส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคมเนื่องจากอย่างที่รู้กันอยู่ว่าเวลาว่างมี น้อยอยู่แล้ว บางคนที่มีธุระส่วนตัว หรือแบ่งเวลาไม่ดีนักจะไม่เหลือเวลาทำอย่างอื่น ซึ่งในบางครั้งทำให้ถูกมองว่าเห็นแก่ตัวและไม่ช่วยเหลือ ไม่เป็นส่วนหนึ่งของสังคมนั้น ๆ (คณะแพทย์มักถูกมองว่าเชิญไปร่วมงานอะไรของมหาวิทยาลัยแล้วมักไม่ค่อยร่วม มือ)
- สูญเสียความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล คนอื่นนอกสายอาชีพที่ไม่เข้าใจจะรู้สึกไม่ดีเวลาขอนัดเจอแล้วหมอขอเลื่อนนัด แบบไม่มีกำหนด หรือมีเวรกะทันหัน มีการตามตัว นัดเจอกันก็ลำบาก โทรไปหาก็บอกว่าติดเวร กำลังผ่าตัดบ้าง กำลังทำคลอดบ้าง คุยก็สั้น ๆ ถามคำตอบคำ (บางทีเพื่อนพี่โทรมา ด้วยความที่ไม่มีเวลาพี่ก็รีบถามว่า “มีธุระอะไรหรือเปล่า?” เพื่อนก็ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยดีว่า “ทำไม? ไม่มีธุระอะไรนี่จะไม่คุยเลยใช่มั้ย?” เป็นต้น) วันเกิดเพื่อน พ่อ แม่ทั้งทีแม้แต่โทรหาก็ไม่ทำ (พอดีปั๊มหัวใจคนไข้อยู่ที่ห้องฉุกเฉิน) โทรมาทีก็ดึกดื่น (ก็เพิ่งลงเวรอ่ะครับ)…โอย มีอีกหลายเหตุการณ์เลยครับ แฟนกันสมัย ม.ปลาย นี่เลิกกันไปหลายคู่ก็ตอนคนหนึ่งเรียนหมอนี่แหละครับ


- ความกดดันจากเวลาและภารกิจที่หลายครั้งไม่สามารถวางแผนชีวิตให้แน่นอนไปได้ เช่น พรุ่งนี้ต้องเข้าช่วยอาจารย์ผ่าตัด วันนี้ไม่ได้อยู่เวรก็จริง แต่ต้องรอรับผู้ป่วยที่จะมา รพ. รอผ่าตัดพรุ่งนี้ เพื่อซักประวัติ ตรวจร่างกาย ลงบันทึกในเวชระเบียน ฯลฯ ซึ่งบางครั้งก็ต้องรอกว่าคนไข้จะมา โดยที่ไปทำอย่างอื่นก็ไม่ได้ หรือจะสอบแต่ก็ต้องอยู่เวร (และไม่มีทางทราบล่วงหน้าว่าเวรวันนั้นจะยุ่งหรือไม่) ฯลฯ
- ความกดดันจากความรับผิดชอบและมโนธรรมส่วนบุคคล เช่น เย็บแผลคนไข้ไว้ 3 วันต่อมาคนไข้กลับมา รพ. เพราะมีก้อนเลือดคั่งใต้แผล (กลับไปเครียดครับ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเราห้ามเลือดไม่ดี หรือคนไข้ไปทำอะไรกับแผล หรือเขามีปัญหาเลือดไม่แข็งตัวแล้วตัวเขาไม่ทราบ ฯลฯ) คนไข้อายุยังน้อย (ไม่น่าตายง่าย ๆ) มาหัวใจหยุดเต้นในเวรเรา (ด้วยเหตุปัจจัยต่าง ๆ นาๆ) แล้วปั๊มหัวใจไม่ขึ้น เป็นต้นครับ
- การสอบครับ เรียนหมอนี่สอบถี่มาก และเนื้อหาก็เยอะแยะมากมาย รูปแบบการสอบนี่ก็หลากหลาย ทั้งกา ทั้งเขียน ทั้งปฏิบัติจริง ฯลฯ
- สุขภาพส่วนบุคคล บางคนนอนน้อยแล้วจะปวดหัว อยู่เวรทีไรก็เลยปวดหัววันรุ่งขึ้นทั้งวัน (แล้วคิดดูครับว่าต้องอยู่เวรประมาณ 3 วันครั้ง นานเป็นปี ๆ) บางคนแพ้แป้งในถุงมือผ่าตัด (ซึ่งไม่มีทางทราบล่วงหน้า จนกว่าจะสัมผัสแล้วเกิดอาการ แต่ก็ยังต้องเรียนทำคลอดและผ่าตัดตามหลักสูตร) บางคนก็เป็นโรคกระเพาะ (น้องลองกินข้าวสัก 3 คำ แล้วลุกไปวิดพื้นสัก 30 นาที (เหมือนไปปั๊มหัวใจคนไข้อ่ะครับ) แล้วกลับมากินอีกครึ่งจาน แล้วไปวิดพื้นอีก บางมื้อก็อดกินไปเลย ทำอย่างนี้สักสัปดาห์ละ 4-5 ครั้ง ต่อเนื่องสักเดือนสิครับ…หึ หึ…แต่เรียนหมอไม่ได้อยู่เวรแค่เดือนเดียวนะครับ)
- ผลการเรียนครับ บางคนเคยเรียนดีเด่นจาก ร.ร.เดิม มาก่อน พอมาเรียนหมอเจอเพื่อน ๆ เก่ง ๆ กันทั้งนั้น ผลการเรียนตัวเองจากที่ 1 เลยมาอยู่กลาง ๆ หรือค่อนมาล่าง ๆ คราวนี้ก็เครียดล่ะครับ
- ความมั่นใจในตัวเอง แต่พบว่าตนเองยังขาดความรู้ บางครั้งก็ทำให้เรากดดันนะครับ เช่น ตอบคำถามอาจารย์ หรือคนไข้และญาติไม่ได้ (อึ้งต่อหน้าเขาเลย แล้วก็กลับมาเครียด) หัตถการบางอย่างที่เคยทำได้แล้วในผู้ป่วยบางคนอยู่ดี ๆ ก็ทำไม่ได้ ก็ทำให้เครียดนะครับ รวมทั้งสภาพการทำงานด้วย เช่นเป็นปี 6 แล้ว ระหว่างดูคนไข้ร่วมกับปี 4-5 อยู่ พออาจารย์ถาม น้อง ๆ ตอบได้ เราตอบไม่ได้….ก็เครียดนะครับ หรือบางทีเรามีข้อสงสัยหรือไปถามพี่ ๆ หมอบางคนแล้วได้คำตอบกลับมาประมาณว่า “ปี… แล้วไม่ใช่เหรอ น่าจะรู้แล้วนะ” “อะไรกัน ไม่รู้ได้ยังไง” แบบนี้ก็ทำให้เครียดได้นะครับ
- ความผิดพลาดในการรักษาพยาบาล ไม่ว่าจะเกิดจากเหตุสุดวิสัย หรือบาปบริสุทธิ์ (ฝีมือยังไม่กล้าแข็ง แต่อยู่ในภาวะที่ต้องทำ แล้วได้ผลออกมาไม่ดีดังคาด หรือความรู้เท่าไม่ถึงการณ์) ก็ทำให้หมอน้อยทั้งหลายเครียดครับ


0 ความคิดเห็น: