งานของกลุ่มกระผมเป็นงานเกี่ยวกับหมวดสาระ สังคมศึกษา
โดยมี สมาชิก ดังนี้
1.นรังสรรค์ มีสุข(แบงค์)
2.ณัฐพล แวงดา (เกมส์)
3.สันติภาพ แสงศรีจันทร์(เบ้)
กลุ่มของกระผมจะเป็นเนื้อหาเกี่ยวกับการอนุรักษณ์วัฒนธรรมไทย โดยจะไปทำไหว้พระ บุญตักบาตรและฟังเทศน์ฟังธรรมที่วัดกันครับ
ฉากแรก ผมทั้ง 3 คนจะออกมาแนะนำตัวและพูดเกี่ยวกับการอนุรักษณ์วัฒนธรรมไทยครับ
แบงค์:สวัสดีครับ ผมนายนรังสสรรค์ มีสุข ครับ
เกมส์:สวัสดีครับ ผมนายณัญพล แวงดา ครับ
เบ้:สวัสดีคัรับ ผมนายสันติภาพแวงศรีจันทร์ ครับ
แบงค์:เป็นการทำบุญที่ชาวพุทธทั่วไปรู้จักและปฏิบัติมากกว่าการทำบุญประเภทอื่น ๆ การตักบาตรนั้น ยังถือว่าเป็นการทำบุญประจำวันของชาวพุทธ
เบ้:และชาวพุทธไทยเชื่อว่า การออกบิณฑบาตของพระสงฆ์เป็นการช่วยโปรดสัตว์ที่อยู่ในอบายภูมิ
เกมส์:วันนี้เราเลยจะมาทำบุญตักบาตรและเข้าวัดฟังเทศน์ฟังธรรมกันครับ ไปเลยคับ
ฉาก 2
พวกผมจะตื่นเช้ามาทำบุญกัน
ฉาก3
เป็นแกที่พวกผมจะเข้าไปในวัดและไปไหว้พระกัน
เมื่อเสร็จแล้วก็จะไปหยอดเหรียญใส่บาตรครับ
จากนั้นก็จะฟังเทศน์ฟังทำครับ
ฉากที่ 4
พวกผมจะออกมากล่าวขอบคุณเพื่อนจบการนำเสนอคลิป
เบ้:การทำบุญไม่จำเป็ฯต้องทำในวัด หรือตักบาตรเท่านั้นแค่เพียงเราให้ของผู้ยากไร้ก็ถือเป็นการทำบุญแล้ว
แบงค์:สำหรับคลิปที่พวกเรานำเสนอนี้อาจจะมีผิดพลาดประการใดก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยคับ
เกมส์:และการทำวีดีโอคลิปพวกเราก็ได้จบลงเพียงเท่านี้
แบงค์,เกมส์,เบ้:ขอบคุณครับ
งาน Story board คับ
เขียนโดย Bankss ที่ 23:56 0 ความคิดเห็น
สาขาแพทย์คับ
1.อายุรศาสตร์
อายุรศาสตร์ (อังกฤษ: Internal medicine; เรียกย่อๆ ว่า medicine) เป็นสาขาหนึ่งของการแพทย์เฉพาะ ทางซึ่งเกี่ยวกับการวินิจฉัยและการรักษาโรคและความผิดปกติในร่างกายผู้ใหญ่ โดยการใช้ยา โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคเกี่ยวกับอวัยวะภายใน เรียกแพทย์ที่ศึกษามาเฉพาะทางอายุรศาสตร์ว่า อายุรแพทย์ (internists) ซึ่งต้องผ่านการศึกษาแพทยศาสตรบัณฑิต และการศึกษาเป็นแพทย์ประจำบ้านด้าน อายุรศาสตร์ซึ่งได้รับประกาศนียบัตรบัณฑิตสาขาวิชาอายุรศาสตร์ และได้รับวุฒิบัตรหรือหนังสืออนุมัติเป็นผู้มีความรู้ความชำนาญในการประกอบ วิชาชีพเวชกรรม สาขาอายุรศาสตร์ หรือสาขาต่างๆทางอายุรศาสตร์
2.สูตินรีเวชวิทยาสูตินรีเวชวิทยา (อังกฤษ: Obstetrics and Gynaecology) หรือที่มักย่อว่า OB/GYN, O&G หรือ Obs & Gynae เป็นวิชาศัลยศาสตร์เฉพาะทางที่เกี่ยวข้องกับอวัยวะสืบพันธุ์เพศหญิง เป็นสาขาวิชาที่รวมเอาการแพทย์เฉพาะทาง 2 สาขาวิชาคือ สูติศาสตร์และนรีเวชวิทยาเข้าด้วยกัน มักเปิดสอนร่วมกันในหลักสูตรแพทย์ประจำบ้าน (หลังจบการศึกษาแพทยศาสตรบัณฑิต) การฝึกวิชาสูตินรีเวชวิทยาเกี่ยวข้องกับการจัดการพยาธิวิทยาคลินิกของระบบ สืบพันธุ์เพศหญิง และการดูแลผู้ป่วยทั้งที่อยู่ในระยะตั้งครรภ์และไม่ได้ตั้งครรภ์
3.ศัลยศาสตร์
ศัลยศาสตร์ หรือ ศัลยกรรม เป็นการแพทย์เฉพาะทางที่เกี่ยวข้องกับการใช้หัตถการหรือเครื่องมือในการผ่าตัดเข้าในร่างกายผู้ป่วยเพื่อสอบสวนอาการหรือรักษาภาวะทางพยาธิวิทยา เช่น โรคการบาดเจ็บต่างๆ เพื่อช่วยในการแก้ไขการทำงานหรือรูปลักษณ์ของร่างกาย หรือด้วยเหตุผลอื่นๆ หรือ
ศัลยแพทย์ในประเทศไทยต้องสำเร็จการศึกษาแพทยศาสตรบัณฑิต และสำเร็จการศึกษาแพทย์ประจำบ้านด้าน ศัลยศาสตร์แล้วได้ผ่านการสอบเพื่อวุฒิบัตรและหนังสืออนุมัติ สาขาศัลยศาสตร์ ของแพทยสภา และเป็นสมาชิกของราชวิทยาลัยศัลยแพทย์แห่งประเทศไทย
4.ศัลยศาสตร์ออร์โทพีดิกส์
ศัลยศาสตร์ออร์โทพีดิกส์[1] หรือ ออร์โทพีดิกส์ (อังกฤษ: Orthopedic surgery, Orthopaedic surgery, Orthopedics, Orthopaedics) (โดยทั่วไปมักสะกดว่า ออร์โธปิดิกส์ หรือ ศัลยศาสตร์ออร์โธปิดิกส์) เป็นสาขาวิชาหนึ่งของวิชาศัลยศาสตร์ ที่เกี่ยวข้องกับการบาดเจ็บแบบเฉียบพลันและเรื้อรัง ทั้งทางด้านกายภาพ รวมทั้งการบาดเจ็บจากการใช้งานมากเกินไป และความผิดปกติของระบบโครงกระดูก ข้อ เส้นเอ็น และกล้ามเนื้อต่างๆ ของร่างกาย
5.จิตเวชศาสตร์
จิตเวชศาสตร์ มาจากคำว่า จิต ที่แปลว่าจิตใจ รวมกับ เวชศาสตร์ ที่แปลว่า ศาสตร์ด้านการแพทย์จิตวิทยา ตรงที่ว่า จิต ที่แปลว่าจิตใจ รวมกับคำว่า วิทยา ที่มาจากวิทยาศาสตร์แทน ดังนั้น จิตวิทยาจึงเน้นเกี่ยวกับทฤษฎีทางจิตใจที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับทางด้านการแพทย์ เมื่อรวมกันจึงหมายถึง ศาสตร์ทางด้านการแพทย์ที่ศึกษาโรคทางด้านจิตใจ ต่างกับ คำว่า
สาขาทางจิตเวชศาสตร์
- จิตเวชศาสตร์ทั่วไป คือ ศึกษาเกี่ยวกับ โรคทางจิตเวชที่พบในผู้ใหญ่ เช่น โรคสมองเสื่อมโรคซึมเศร้า โรคจิต
- จิตเวชศาสตร์เด็ก และ วัยรุ่น ศึกษาเกี่ยวกับ โรคทางจิตเวชในเด็ก และ วัยรุ่น เช่น โรคสมาธิสั้น โรคออทิสติก
โสตศอนาสิกวิทยา (อังกฤษ: Otolaryngology) เป็นแขนงหนึ่งของวิชาแพทยศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการวินิจฉัยและรักษาความผิดปกติของหู, จมูก, กล่องเสียงหรือช่องคอ, ศีรษะและคอ ในบางครั้งอาจเรียกย่อได้ว่า อีเอ็นที (ENT; ear, nose and throat: หู จมูก และคอ) จากรากศัพท์ภาษาบาลีสันสกฤตแปลได้ว่า การศึกษาหู คอ และจมูก
รากศัพท์ของ "Otolaryngology" มาจากภาษากรีก ωτολαρυγγολογία (oto = รากศัพท์แปลว่าหู, laryngo = รากศัพท์แปลว่ากล่องเสียงหรือช่องคอ, logy = การศึกษา) แปลตามตัวหมายถึงการศึกษาหูและคอ คำเต็มอาจเรียกว่า ωτορινολαρυγγολογία (otorhinolaryngology) ซึ่งเพิ่มคำว่า rhino ซึ่งเป็นรากศัพท์หมายถึงจมูกลงไปด้วย
7.พยาธิวิทยา
พยาธิวิทยา (อังกฤษ: Pathology) เป็นการศึกษาและวินิจฉัยโรคจากการตรวจอวัยวะ, เนื้อเยื่อ, เซลล์, สารคัดหลั่ง, และจากทั้งร่างกายมนุษย์ (จากการชันสูตรพลิกศพ) พยาธิวิทยายังหมายถึงการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ของการดำเนินโรค ซึ่งหมายถึงพยาธิวิทยาทั่วไป (General pathology) พยาธิวิทยาทางการแพทย์แบ่งออกเป็น 2 สาขาหลักๆ ได้แก่ พยาธิกายวิภาคพยาธิวิทยาคลินิก (Clinical pathology) นอกจากการศึกษาในคนแล้ว ยังมีการศึกษาพยาธิวิทยาในสัตว์ (Veterinary pathology) และในพืช (Phytopathology) ด้วย (Anatomical pathology) และ
วิชาพยาธิวิทยามักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นการศึกษาเกี่ยวกับพยาธิหรือปรสิต เนื่องจากมีคำที่พ้องรูปกัน ซึ่งในความเป็นจริงวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับพยาธิคือวิชาปรสิตวิทยา (Parasitology)
ส่วนผู้ที่มีอาชีพทางด้านพยาธิวิทยาเรียกว่าพยาธิแพทย์
8.รังสีวิทยา
รังสีวิทยา (อังกฤษ: Radiology) เป็นสาขาหนึ่งของแพทยศาสตร์ซึ่งใช้เครื่องมืออาทิเอกซเรย์การถ่ายภาพรังสีส่วนตัดอาศัยคอมพิวเตอร์ การสร้างภาพด้วยเรโซแนนซ์แม่เหล็ก โพซิตรอนอีมิสชันโทโมกราฟี หรือเทคโนโลยีอื่นๆ เพื่อสร้างภาพของร่างกายมนุษย์เพื่อวินิจฉัยและรักษาโรค แบ่งออกเป็น 3 สาขาย่อย ได้แก่ รังสีวินิจฉัย (diagnostic radiology), รังสีรักษา (therapeutic radiology หรือ oncoradiology) และ เวชศาสตร์นิวเคลียร์ (nuclear medicine)
9.กุมารเวชศาสตร์
กุมารเวชศาสตร์ (อังกฤษ: pediatrics, paediatrics) เป็นสาขาวิชาหนึ่งของแพทยศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการดูแลทางการแพทย์แก่ทารก, เด็ก, และวัยรุ่น กล่าวคือตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุประมาณ 14-18 ปีขึ้นกับเกณฑ์ของแต่ละสถานที่และประเทศ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกุมารเวชศาสตร์จะเรียกว่า กุมารแพทย์ (pediatrician) ซึ่งต้องสำเร็จการศึกษาแพทยศาสตรบัณฑิตแพทย์ประจำบ้านด้านกุมารเวชศาสตร์ และ
คำว่า pediatrics มาจากรากศัพท์ในภาษากรีก παῖdh pais แปลว่าเด็ก และ ἰατρός iatros แปลว่าแพทย์หรือผู้รักษา เมื่อรวมกันจึงแปลว่า ผู้ที่รักษาเด็ก
10.เวชศาสตร์ฟื้นฟู
เวชศาสตร์ฟื้นฟู หรืองานเวชกรรมฟื้นฟู จัดว่าเป็น 1 ใน 4 พันธกิจทางการแพทย์ ตามคำจำกัดความขององค์การอนามัยโลก (ได้แก่ "ส่งเสริมสุขภาพ - ป้องกันโรค - รักษาโรค - ฟื้นฟูสมรรถภาพ) ภาษาอังกฤษเรียกว่า Rehabilitation medicine หรือ Physical medicine and rehabilitation (PM&R) หรือ Physiatry (อ่านว่า ฟิส-ซาย-เอ-ตรี้) ก็ได้
งานเวชศาสตร์ฟื้นฟูเอง ก็คือการฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์ (Medical rehabilitation) ซึ่งเป็นหนึ่งในหลายๆด้านของการฟื้นฟูสมรรถภาพทั้งหมด ขึ้นกับบุคคลนั้นต้องการให้ฟื้นฟูสมรรถภาพทางด้านใด ณ ที่นี้ ยกตัวอย่างการฟื้นฟูด้านอื่นๆ เช่น การฟื้นฟูสมรรถภาพด้านอาชีพ (Vocational rehabilitation) การฟื้นฟูสมรรถภาพด้านการศึกษา (Educational rehabilitation) เป็นต้น
งานเวชศาสตร์ฟื้นฟูในประเทศที่พัฒนาแล้ว เป็นงานที่ท้าทายและเป็นที่รู้จักสนใจในวงกว้าง เนื่องจากสามารถบ่งบอกถึงการเอาใจใส่จากภาครัฐได้เป็นอย่างดี เพราะผู้ป่วยที่มีรับการฟื้นฟูนั้น ย่อมเป็นผู้พิการ หรือ ผู้ที่มีสมรรถภาพทางร่างกายไม่ดีนัก แต่เป็นที่น่าเสียดาย ที่ในประเทศไทยไม่ค่อยให้ความสำคัญเท่าไรนัก ทั้งในระดับนโยบาย ระดับโรงพยาบาล และในประชาชนทั่วไป
2 บุคลากรที่เกี่ยวข้องกับงานเวชศาสตร์ฟื้นฟู 3 การรักษาและฟื้นฟูด้วยเวชศาสตร์ฟื้นฟู |
คำจำกัดความ
เป็นการบริการทางการแพทย์ชนิดหนึ่ง เพื่อตรวจประเมิน รักษา ฟื้นฟูสมรรถภาพ ด้วยวิธีการใช้ยา การทำหัตถการ การใช้เครื่องมือ การออกกำลังกายจำเพาะ การให้คำแนะนำทางการแพทย์ การใช้อุปกรณ์ช่วยเหลือหรือทดแทน หรือวิธีการอื่นๆ อีกทั้งยังมุ่งส่งเสริมสุขภาพ และป้องกันการเป็นซ้ำหรือภาวะแทรกซ้อนให้กับบุคคลทั่วไป และผู้ป่วยที่มีความพิการหรือสมรรถภาพเสื่อมถอย ทั้งทางร่างกาย ทางสติปัญญา ทางการเรียนรู้ ทางการสื่อความหมาย และทางจิตใจ โดยใช้บุคลากรที่เกี่ยวข้องจากหลายๆสาขา ร่วมกันให้การรักษาและฟื้นฟู เพื่อส่งเสริมศักยภาพที่เหลืออยู่ของผู้ป่วยนั้นๆ ให้สามารถดำรงชีวิตในสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสมได้ เพื่อให้เป็นภาระต่อคนรอบข้างและสังคมให้น้อยที่สุด อีกทั้งยังช่วยสร้างชื่อเสียง (เช่น เป็นนักกีฬา) หรือพัฒนาประเทศต่อไปได้ตามความสามารถ
11.เวชศาสตร์ฉุกเฉิน
เวชศาสตร์ฉุกเฉิน (อังกฤษ: Emergency medicine) เป็นการแพทย์เฉพาะทางที่มุ่งเน้นการวินิจฉัยและรักษาความเจ็บป่วยหรือการบาดเจ็บที่เกิดฉับพลันและต้องการความช่วยเหลือทางการแพทย์อย่างเร่งด่วน
*สำหรับบางสาขาผมอาจจะไม่ได้เอามาลงให้ดูน่ะกับก็ขอโทษด้วย
และบางข่้อความอาจจะผิดพลาดไปก็ขอโทษเอาไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ
เขียนโดย Bankss ที่ 05:01 1 ความคิดเห็น
นักศึกษาแพทย์ นักเรียนแพทย์ หรือ นิสิตแพทย์
นักศึกษาแพทย์ นักเรียนแพทย์ หรือ นิสิตแพทย์ คือบุคคลซึ่งศึกษาในโรงเรียนแพทย์ในหลักสูตรเกี่ยวกับแพทยศาสตร์โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสำเร็จการศึกษาออกไปเป็นแพทย์ การศึกษาในระดับนักศึกษาแพทย์นับว่าเป็นขั้นแรกสุดของลำดับการศึกษาของ วิชาชีพนี้ ในการรับเข้าศึกษาเพื่อเป็นนักเรียนแพทย์ในแต่ละประเทศนั้นมีความแตกต่างกัน ในบางประเทศเช่นประเทศไทยจะมีระบบการรับนักเรียนเข้าเป็นส่วนกลาง
ในระหว่างการศึกษา นักศึกษาแพทย์จะต้องศึกษาทั้งวิทยาศาสตร์พื้นฐานและปฏิบัติงานด้านคลินิก หลักสูตรและระยะเวลาในการศึกษานั้นแตกต่างกันออกในในแต่ละประเทศและแต่ละ สถาบัน โดยทั่วไปแล้วในประเทศไทยหลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิตมี ระยะเวลา 6 ปี ประกอบด้วยระดับชั้นปรีคลินิก (pre-clinical years) ซึ่งศึกษาด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์พื้นฐาน (Basic medical science) 3 ปี และระดับชั้นคลินิก (clinical years) ซึ่งศึกษาด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์คลินิกและปฏิบัติงานบนหอผู้ป่วย 3 ปี โดยในปีสุดท้ายจะเรียกว่านักศึกษาแพทย์เวชปฏิบัติ (externship) ที่ทำหน้าที่รับ ดูแลผู้ป่วย และเรียนรู้หัตถการพื้นฐานที่จำเป็นภายใต้การควบคุมของอาจารย์แพทย์และแพทย์ประจำบ้าน
นักศึกษาแพทย์ในประเทศไทยจะต้องสอบผ่านการประเมินความรู้ความสามารถในการ ประกอบวิชาชีพเวชกรรมซึ่งสอบทั้งประเทศและการประเมินความรู้รวบยอดของสถาบัน เพื่อรับปริญญาบัตร หลังจากสำเร็จการศึกษาจะได้รับปริญญาแพทยศาสตรบัณฑิต และโดยทั่วไปจากสัญญาที่ได้ทำไว้ก่อนเข้าศึกษาในโรงเรียนแพทย์ บัณฑิตแพทย์จะต้องเป็นแพทย์เพิ่มพูนทักษะ (internship) หรือที่เรียกกันว่าแพทย์ใช้ทุนในโรงพยาบาลประจำจังหวัดที่ได้รับการจัดสรร เป็นระยะเวลา 1 ปี และในโรงพยาบาลชุมชนอีก 2 ปี หรืออาจสมัครเพื่อเป็นแพทย์เพิ่มพูนทักษะและศึกษาแพทย์เฉพาะทางตามโรงเรียนแพทย์ในบางจังหวัดหรือศูนย์แพทยศาสตรศึกษาชั้นคลินิกที่เปิดรับสมัครเป็นระยะเวลาประมาณ 4 ปี
เขียนโดย Bankss ที่ 04:35 0 ความคิดเห็น
เรียนแพทย์...มีข้อดีข้อเสียคือ
ถ้าเรียนแพทย์...มีข้อดีคือ
1. ได้ช่วยเหลือคนเจ็บป่วย
2. ได้ดูแลสุขภาพ ป้องกันไม่ให้เจ็บป่วย
3. สามารถให้ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับสุขภาพแก่คนอื่นๆ
ฯลฯ
ถ้าเรียนแพทย์...มีข้อเสียคือ
1. เหนื่อย
2. มีเวลาส่วนตัวน้อย ยกเว้่นทำงานในชุมชน และแพทย์เฉพาะทางบางสาขา
3. ถูกฟ้องร้องได้ง่าย ฯลฯ
ทั้งหมดนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งที่จะเจอได้ ซึ่งมันแล้วแต่ว่าเราจะรับได้แค่ไหนกัน
รับได้ก็บอกว่าดี ไม่เหนื่อยเท่าไหร่ ถ้ารับไม่ได้ก็เครียด เบื่อ เรียนไม่ไหว
เขียนโดย Bankss ที่ 07:50 0 ความคิดเห็น
แพทย์
แพทย์ (อังกฤษ: physician, doctor) หรือเรียกเป็นภาษาพูดว่า "หมอ" ในบางพื้นที่ตามชนบทแพทย์อาจถูกเรียกเป็น "หมอใหญ่" เพื่อเลี่ยงความสับสนกับการเรียกพยาบาลหรือเจ้าหน้าที่ทางด้านสาธารณสุข ต่างๆ แพทย์มีหน้าที่ ซักถามประวัติ ตรวจร่างกาย และส่งตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม เพื่อสั่งการรักษาหรือให้การรักษาโรค ส่งเสริมฟื้นฟูสุขภาพ ให้กับผู้ป่วย ร่วมกับบุคลากรด้านสุขภาพอื่นๆ
การเข้าศึกษาแพทยศาสตร์ในประเทศไทย
ปัจจุบันมีหน่วยงานชื่อว่า กลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย (กสพท.) ทำหน้าที่จัดสอบคัดเลือกและประกาศผลนักเรียนที่จบการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปี ที่หกเพื่อเข้ารับการศึกษาในคณะแพทยศาสตร์ต่างๆ ทั่วประเทศ และมีการรับนักเรียนตามโครงการต่างๆ อีกหลายโครงการ
การเรียนแพทยศาสตร์ในประเทศไทย
การเรียนแพทยศาสตร์ในประเทศไทยใช้เวลาเรียน 6 ปี ปีแรกเรียนวิทยาศาสตร์ทั่วไปเน้นเกี่ยวข้องทางชีววิทยา ปีที่ 2-3 เรียนวิชาที่เกี่ยวข้องทางการแพทย์ เรียกระยะนี้ว่า ปรีคลินิก (Preclinic) ปีที่ 4-5 เรียนและฝึกงานผู้ป่วยจริงร่วมกับแพทย์รุ่นพี่และอาจารย์ เรียกระยะนี้ว่า ชั้นคลินิก (Clinic) และปีสุดท้ายเน้นฝึกปฏิบัติกับผู้ป่วยจริงภายใต้การดูแลของแพทย์รุ่นพี่และอาจารย์เรียกระยะนี้ว่า เอกซ์เทอร์น (Extern)
แพทย์จบใหม่ในประเทศไทย
เมื่อนักเรียนแพทย์ในประเทศไทยศึกษาจบแพทยศาสตรบัณฑิต บัณฑิตแพทย์ต้องมีการทำงานหรือการชดใช้ทุนของแพทย์เป็น เวลา 3 ปี โดยกำหนดให้ทำงานให้รัฐบาล ซึ่งหากผิดสัญญาต้องจ่ายค่าชดเชยให้รัฐตามแต่สัญญาซึ่งทำไว้ตั้งแต่ก่อนเข้า รับการศึกษากำหนด ในปีแรกแพทยสภากำหนดให้มีการฝึกปฏิบัติงานเพิ่มเติมในโรงพยาบาลใหญ่ๆ ภายใต้การดูแลของแพทย์รุ่นพี่ที่มีประสบการณ์เป็นเวลา 1 ปี ซึ่งเรียกระยะนี้ว่า อินเทอร์น (Intern)
แพทย์เฉพาะทาง
หลังจากที่บัณฑิตแพทย์สำเร็จการศึกษาออกมาและได้เพิ่มพูนทักษะตามจำนวนปีที่แพทยสภา (Medical concils of Thailand) เป็นผู้กำหนดแล้ว สามารถสมัครเพื่ออบรมเป็นแพทย์ประจำบ้าน (Medical Resident) และเมื่อจบหลักสูตรการอบรมและสามารถสอบใบรับรองจากราชวิทยาลัยแพทย์ต่างๆได้แล้ว จึงจะได้เป็นแพทย์เฉพาะทางได้ต่อไป
เขียนโดย Bankss ที่ 07:46 0 ความคิดเห็น
เส้นทางอันแสนยากเย็นสู่การเป็นหมอ
อ่าาา เรามาเริ่มเรื่องกันเลยดีกว่าน่ะครับ บทความต่อไปนี้น่ะคับ ผมก็ไม่ได้ทำเองทั้งหมด ไปเอามาจากทั้งเว็ปไซด์ของคนอื่นๆๆๆ มาด้วยแหละครับ ท่าผิดพลาดยังงัยก้อชออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยน่าาาครับ
งานที่หลายคนไฝ่ฝันอาชีพ หมอ หรือแพทย์หรือนายแพทย์
ผมเองก็เคยฝันไว้เหมือนกันแต่ว่าการเรียนต้องขยันแล้วก็มีความรู้
เยอะครับ เก่งหลายด้าน ผมว่ากว่าจะสอบเป็นหมอได้ไม่ง่ายเหมือนกันครับ
ลองมาดูความหมายและความรู้เกี่ยวกับคุณหมอนะครับ
แพทย์ (อังกฤษ: physician, doctor) หรือเรียกเป็นภาษาพูดว่า “หมอ”
ในบางพื้นที่ตามชนบทแพทย์อาจถูกเรียกเป็น “หมอใหญ่” เพื่อเลี่ยง
ความสับสนกับการเรียกพยาบาลหรือเจ้าหน้าที่ทางด้านสาธารณสุขต่างๆ
แพทย์มีหน้าที่ ซักถามประวัติ ตรวจร่างกาย และส่งตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม
เพื่อสั่งการรักษาหรือให้การรักษาโรค ส่งเสริมฟื้นฟูสุขภาพ ให้กับผู้ป่วย
ร่วมกับบุคลากรด้านสุขภาพอื่นๆ
การเข้าศึกษาแพทยศาสตร์
ปัจจุบันมีหน่วยงานชื่อว่า กลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย (กสพท.)
ทำหน้าที่จัดสอบคัดเลือกและประกาศผลนักเรียนที่จบการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่หก
เพื่อเข้ารับการศึกษาในคณะแพทยศาสตร์ต่างๆ ทั่วประเทศ และมีการรับนักเรียน
ตามโครงการต่างๆ อีกหลายโครงการ
การเรียนแพทยศาสตร์
การเรียนแพทยศาสตร์ในประเทศไทยใช้เวลาเรียน 6 ปี ปีแรกเรียนวิทยาศาสตร์ทั่วไป
เน้นเกี่ยวข้องทางชีววิทยา ปีที่ 2-3 เรียนวิชาที่เกี่ยวข้องทางการแพทย์ เรียกระยะนี้ว่า
ปรีคลินิก (Preclinic) ปีที่ 4-5 เรียนและฝึกงานผู้ป่วยจริงร่วมกับแพทย์รุ่นพี่และอาจารย์
เรียกระยะนี้ว่า ชั้นคลินิก (Clinic) และปีสุดท้ายเน้นฝึกปฏิบัติกับผู้ป่วยจริงภายใต้
การดูแลของแพทย์รุ่นพี่และอาจารย์เรียกระยะนี้ว่า เอกซ์เทอร์น (Extern)
แพทย์จบใหม่ในประเทศไทย
เมื่อนักเรียนแพทย์ในประเทศไทยศึกษาจบแพทยศาสตร์บัณฑิต บัณฑิตแพทย์ต้องมีการทำงาน
หรือการชดใช้ทุนของแพทย์เป็นเวลา 3 ปี โดยกำหนดให้ทำงานให้รัฐบาล ซึ่งหากผิดสัญญาต้อง
จ่ายค่าชดเชยให้รัฐตามแต่สัญญาซึ่งทำไว้ตั้งแต่ก่อนเข้ารับการศึกษากำหนด ในปีแรกแพทยสภา
กำหนดให้มีการฝึกปฏิบัติงานเพิ่มเติมในโรงพยาบาลใหญ่ๆ ภายใต้การดูแลของแพทย์รุ่นพี่ที่มี
ประสบการณ์เป็นเวลา 1 ปี ซึ่งเรียกระยะนี้ว่า อินเทอร์น (Intern)
แพทย์เฉพาะทาง
หลังจากที่บัณฑิตแพทย์สำเร็จการศึกษาออกมาและได้เพิ่มพูนทักษะตามจำนวนปีที่แพทยสภา
(Medical concils of Thailand) เป็นผู้กำหนดแล้ว สามารถสมัครเพื่ออบรมเป็นแพทย์ประจำบ้าน
(Medical Resident) และเมื่อจบหลักสูตรการอบรมและสามารถสอบใบรับรองจากราชวิทยาลัยแพทย์ต่างๆ
ได้แล้ว จึงจะได้เป็นแพทย์เฉพาะทางได้ต่อไป
สาขาของแพทย์เฉพาะทาง
* อายุรแพทย์ – แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านอายุรศาสตร์
* สูตินรีแพทย์ – แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสูตินรีเวชวิทยา
* ศัลยแพทย์ (Surgeon) – แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยศาสตร์
* จักษุแพทย์ (Opthalmologists) – แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านจักษุวิทยา
* จิตแพทย์ – แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตเวชศาสตร์
* แพทย์โสตศอนาสิก – แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโสตศอนาสิกวิทยา
* พยาธิแพทย์ – แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านพยาธิวิทยา
* รังสีแพทย์ – แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านรังสีวิทยา
* วิสัญญีแพทย์ (Anesthesiologists/Anesthetist) – แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านวิสัญญีวิทยา
* กุมารแพทย์ (Pediatrics) – แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกุมารเวชศาสตร์
* แพทย์เวชปฏิบัติครอบครัว (Family Medicine) – แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชปฏิบัติครอบครัว
* แพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู- แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟู
* แพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉิน- แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ฉุกเฉิน
น่าจะเริ่มเรียนกันอย่างนี้น่ะคับ
เมื่อแรกเริ่มเข้าเรียนในระยะเตรียมแพทย์ วิชาที่เรียนก็จะยังคล้ายๆ กับการเรียนมัธยมปลาย แต่เนื้อหาอาจลึกลงไปทางด้านวิทยาศาสตร์มากกว่า เด็กที่เรียนดีมาแล้วจากชั้นมัธยมจะรู้สึกว่าไม่ยากเย็นอะไรที่จะเข็นตัวเอง ให้ผ่านไปได้สบายๆ (ไม่ต้องตั้งใจเรียนเพื่อเอาเกียรตินิยมหรอก ก็เข้าแพทย์ได้แล้วนี่) แต่ในบางช่วงของการเรียนเด็กบางคนก็อาจเปลี่ยนไปเป็นเด็กที่เรียนตกแล้วตก อีกได้อย่างไม่น่าเชื่อเลยว่าเคยเป็นเด็กที่เรียนดีมากๆ มาก่อน บางคนถึงกับโดนให้ออกเพราะเรียนหลายปีเกินไปก็ยังเรียนไม่จบ (มักโดนเพื่อนแซวลับหลังว่าเรียนละเอียด) ช่วงแรกนี้ใช้เวลาแค่ 1-2 ปี
ต่อมาเป็นช่วงพรีคลินิก(preclinic) หรือเรียกกันติดปากว่า “ข้ามฟาก” สาเหตุสมัยก่อนต้องข้ามไปเรียนที่โรงพยาบาลศิริราชเพียงที่เดียว ใช้เวลาอีก 2 ปี เป็นการเรียนปูพื้นฐานเกี่ยวกับโรคต่างๆ เรียนกายวิภาค เรียนเภสัชวิทยาเป็นต้น ช่วงจะเริ่มเรียนค่อนข้างหนัก วิชาที่เรียนจะใช้การท่องจำค่อนข้างมาก เด็กที่ไม่ชอบเรียนแบบท่องจำอาจจะเบื่อ มีการสอบบ่อยมาก ต้องนอนดึกกันเป็นประจำ
ช่วงคลินิก คือปีที่ 4-5-6 จะเรียน ทฤษฏีควบคู่ไปกับการเรียนปฏิบัติกับผู้ป่วย มีการแจกผู้ป่วยจริงให้ไปดูแล ตั้งแต่ซักประวัติ ตรวจร่างกายตามที่ได้ร่ำเรียนมา อาจช่วยตรวจทางห้องปฏิบัติการเช่นตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ จากนั้นก็เขียนรายงาน วิจารณ์ ค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการวินิจฉัยและการรักษาโรคนั้นๆ ช่วงนี้เป็นการเรียนที่หนักมากขึ้นไปอีก ต้องอยู่หอพัก แทบจะต้องตัดขาดจากทางบ้านโดยสิ้นเชิง เด็กที่ไม่เหมาะกับอาชีพนี้จะเริ่มรู้สึกได้ในช่วงนี้ เมื่อมีการเรียนหรือการทำงานที่ไม่มีกำหนดเวลาแน่นอน อาจถูกตามไปรับผู้ป่วยใหม่เวลาตี 2 ตี 3 ซึ่งเป็นเวลาที่ควรจะได้หลับสบาย อาจต้องอยู่ทำงานในวันหยุดซึ่งใครๆ ก็ได้หยุดไปเที่ยวกัน เวลาปิดเทอมอาจจะสั้นมากหรือบางทีก็ไม่มีเลย
อย่างไรก็ตาม ลักษณะการเรียนในปัจจุบันนี้ได้เปลี่ยนแปลงไปมาก ค่อนข้างจะเป็นการผสมผสานระหว่างวิชาต่างๆ มากขึ้นในลักษณะการแก้ปัญหาเป็นพื้นฐาน(problem based learning)
ช่วงฝึกงาน (extern หรือ intern) เป็น ช่วงการปฏิบัติงานจริงกับผู้ป่วยจริง ต้องรับผิดชอบชีวิตของผู้ป่วย โดยอยู่ในความควบคุมของอาจารย์และแพทย์ประจำบ้านซึ่งทำหน้าที่เหมือนพี่ เลี้ยง ช่วงนี้ก็งานหนักมาก อาจต้องอยู่เวรวันเว้นวัน แต่กลางวันก็ไม่ได้หยุดพักผ่อน บางครั้งอยู่เวรกลางคืนไม่ได้นอนทั้งคืนแล้วกลางวันก็ยังต้องออกตรวจคนไข้ หรือช่วยผ่าตัด รวมๆ แล้วอาจจะเป็น 36 ชั่วโมงที่ไม่ได้นอนเลย
วัน หยุดของแพทย์ไม่ใช่วันที่จะตื่นสายๆ แล้วไม่ต้องออกไปทำงานเลย แต่ยังต้องออกไปตรวจเยี่ยมผู้ป่วยเหมือนวันธรรมดา หรือที่เรียกกันว่าไป round ward (ก็ถ้าคุณไม่ไปดูแล้วจะให้ใครไปดูล่ะ) ซึ่งบางทีกินเวลาเข้าไปครึ่งค่อนวัน ถ้าจะไปเที่ยวกับครอบครัวหรือธุระอื่นๆ ก็อาจจะฝากเพื่อนแพทย์ดูแลได้บ้างเป็นครั้งคราว แต่จะฝากคนอื่นบ่อยๆ ก็ไม่ใช่สิ่งที่พึงปฏิบัติเนื่องจากการรักษาอาจจะไม่ต่อเนื่องผู้ป่วยเองก็ มักจะไม่ค่อยพึงใจนักกับการที่เปลี่ยนหน้าหมอมารักษา
ไม่ว่าแพทย์จะ ไปที่ไหน ทำอะไรอยู่ ก็มีสิทธิ์ถูกตามมาดูผู้ป่วยได้ทุกเมื่อ บางทีต้องยกเลิกโปรแกรมที่จะพาครอบครัวไปเที่ยว ขับรถไปแล้วครึ่งทางก็ต้องขับกลับมาถ้าผู้ป่วยเกิดมีปัญหา(แพทย์ที่ดีต้อง เสียสละความสุขส่วนตนและของครอบครัวได้) การทำงานหนัก ขาดการพักผ่อนดูแลตัวเองย่อมทำให้สุขภาพทรุดโทรม เกิดความเครียด จึงพบว่าแพทย์ไทยมีอายุขัยเฉลี่ยสั้นกว่าคนทั่วไปหลายปี
รายได้ของ แพทย์ถูกจำกัดด้วยกำลังกายและเวลา จึงไม่สามารถร่ำรวยได้มากนัก ทุกบาททุกสตางค์ต้องใช้แรงงานเข้าแลก หากรับราชการเพียงอย่างเดียวจนเกษียณจะไม่มีโอกาสมีเงินเก็บพอซื้อบ้านดีๆ สักหลัง รถสักคันได้ แพทย์ส่วนใหญ่จึงมักเลือกที่จะใช้เวลาว่างที่เหลืออยู่จำกัดนี้หารายได้ พิเศษด้วยการเปิดคลินิก หรือทำงานในโรงพยาบาลเอกชน ทำให้ขาดการหยุดพักผ่อนมากขึ้นไปอีก
ปัญหาการฟ้องร้องแพทย์ที่มีมาก ขึ้นในปัจจุบันนี้ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้แพทย์หลายๆ คนท้อแท้ บางคนกันเหไปทำอาชีพอื่น บางคนห้ามลูกของตัวเองไม่ให้เรียนแพทย์ บางคนหาทางออกโดยการทำประกันแบบเดียวกับแพทย์ในต่างประเทศ(malpractice insurance) ซึ่งทำให้ค่ารักษาพยาบาลเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย
เมื่อคุณรับทราบข้อมูลเหล่านี้แล้วยังยืนยันว่าต้องการเป็นหมอให้จงได้อยู่ก็จงสำรวจตัวของคุณเกี่ยวกับคุณสมบัติต่อไปนี้
1. ความ ถนัดทางวิชาเฉพาะที่ใช้ในการสอบเข้ามหาวิทยาลัย ได้แก่วิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ทุกสาขา ภาษาอังกฤษ อาจมีวิชาภาษาไทย สังคมศึกษาด้วย ปัจจุบันโรงเรียนแพทย์เกือบทุกแห่งจะแยกสอบเอง โดยไม่ผ่านระบบ entrance และมีจำนวนโรงเรียนแพทย์ให้เลือกมากขึ้น เท่าที่พอจะนึกออกได้แก่ จุฬาฯ ศิริราช รามาฯ เชียงใหม่ ขอนแก่น สงขลา พระมงกุฎ มศว. ธรรมศาสตร์ นเรศวร และมหาวิทยาลัยเอกชนที่มีคณะแพทย์ ก็ได้แก่ มหาวิทยาลัยรังสิต ซึ่งเสียค่าใช้จ่ายประมาณ 2-3 แสนต่อปี (ไม่รวมค่าใช้จ่ายส่วนตัว) และคณะแพทย์ใหม่ล่าสุดที่กำลังจะก่อตั้งก็คือ แม่ฟ้าหลวง
2. อุปนิสัย ส่วนตัว เป็นคนขยัน อดทนสู้งานหนัก อดนอนได้ ไม่โห ฉุนเฉียว มีความเมตตามีคุณธรรม (เพราะสังคมคาดหวังจะให้แพทย์เป็นเช่นนั้น)
3. ความ เป็นลูกแหง่ติดพ่อแม่ ต้องไปอยู่หอพักระหว่างเรียน ต้องออกต่างจังหวัดระหว่างฝึกงาน ระหว่างใช้ทุนรัฐบาล (3 ปี) จะทนได้หรือไม่ สำรวจใจของพ่อแม่เองด้วยว่าทนให้ลูกไปอยู่ห่างไกลได้นานๆ หรือไม่ มีส่วนหนึ่งที่ทั้งพ่อแม่และลูกทนไม่ไหวต้องจ่ายเงินชดเชยให้รัฐบาล(ประมาณ 4 แสนบาท) เพื่อแลกอิสรภาพของลูกกลับคืนมา
หมอเค้าเรียนกันยังไง ใครอยากเป็นหมอลองอ่านดู
บทความนี้ไม่ได้เขียนเอง ไปเจอมาจาก http://www.triamudom.org/ คุณทหารผ่านศึกเขาเขียนไว้จากประสบการณ์จริง ผมก็เลยอยากให้เพื่อนๆที่อยากเป็นหมอ มาลองอ่านว่าจะเป็นยังไงกัน
ความ กดดันเวลาเป็นนักเรียนแพทย์นี่ยังมีอีกเยอะครับ….อืมมม…พี่ลองเขียนเท่าที่ คิดออกก็แล้วกันนะครับ น้อง ๆ หมอคนอื่น ๆ ใครคิดออกก็เพิ่มเติมกันได้เลยนะครับ พี่ว่าดีเหมือนกันที่ให้น้อง ๆ ม.ปลายได้รู้ตรงนี้ไว้บ้าง จะได้ทราบว่าเรียนแพทย์ไม่ได้มีแต่ด้านสวยงามเหมือนความฝันครับ
- เรียนเยอะกว่าคนอื่น เวลาพักผ่อนน้อย (มีคณะไหนครับที่เรียนตั้งแต่ก่อน 7 โมงเช้า เลิกเรียนแล้วแต่ บางวันก็ 1-2 ทุ่ม แถมมีอยู่เวรทั้งครึ่งคืนและตลอดคืน)
- ไม่มีวันหยุดอีกต่อไป ไม่ว่าสุดสัปดาห์ ปิดเทอม หรือนักขัตฤกษ์ (มีก็นิดหน่อย หรือไม่ก็ยังคงต้องไปทำงาน/อยู่เวร)
- เด็กต่างจังหวัด อดกลับบ้านเน้อ…(ดูแลพ่อแม่คนอื่น แต่พ่อแม่ตัวเองนี่หาเวลาไปดูแลยากมาก)
- เรียนหนัก จ่ายหนัก (ค่าเล่าเรียนแพง ตำราแพทย์นี่ แต่ละเล่มหนา แพง ทั้งนั้น ไหนจะต้องทำรายงาน ค้นอินเตอร์เน็ต ซีร็อกซ์ชีท)
- เสี่ยงชีวิต…ไม่ได้พูดเล่นนะ ในชั้นคลินิกที่น้องต้องฝึกเจาะเลือด ฉีดยา แทงน้ำเกลือ เจาะน้ำไขสันหลัง เข้าช่วยผ่าตัด ทำคลอด เย็บแผล เก็บเสมหะ อุจจาระ ปัสสาวะ ฯลฯ ล้วนแต่มีโอกาสติดเชื้อได้ทั้งสิ้น แม้ว่าจะป้องกันอย่างดี แต่อุบัติเหตุก็สามารถเกิดขึ้นได้เสมอครับ ตัวอย่างมีมากมาย…และเชื้อโรคที่น่ากลัวนี่ ไม่ต้องบอกก็คงพอนึกกันออกใช่มั้ยครับ
ความคาดหวังจากครอบครัวและสังคม เป็นความกดดันที่หนักหนาเอาเรื่องเลยครับ (คนเป็นหมอต้องเก่ง ดี รู้จักกาลเทศะเสมอ ทำอะไรถ้าผิดพลาดจะถูกจับตามองและตำหนิมากกว่าคนอื่นหลายเท่า จะได้ยินบ่อยมากกว่า “เป็นถึงนักเรียนแพทย์” “หมอไม่น่า…” ฯลฯ ถูกยกเป็นตัวอย่าง เปรียบเทียบกับคนอื่น ๆ ฯลฯ)
- ความกดดันจากผู้ป่วยและญาติบางคน ที่เห็นเราเป็นนักเรียนแพทย์ บางครั้งก็จะไม่เชื่อถือในความรู้ความสามารถ เกิดการลองภูมิ หรือไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำ
- งานที่นักเรียนแพทย์ต้องฝึกทำ มีหลายอย่างที่ปกติถ้าไม่มีนักเรียนแพทย์ พยาบาลก็ต้องเป็นคนทำ บางทีแทนที่พยาบาลจะคิดว่ามีนักเรียนแพทย์ขึ้นมาแล้วช่วยให้งานเบาลง จะกลายเป็นทำให้น้องรู้สึกว่าถูกใช้งานแทน และก็อย่างที่น้องบอกไว้ว่าบางครั้งก็จะมีการระบายอารมณ์กันอีกด้วย
- ในนักเรียนแพทย์บางคน จะขาดส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคมเนื่องจากอย่างที่รู้กันอยู่ว่าเวลาว่างมี น้อยอยู่แล้ว บางคนที่มีธุระส่วนตัว หรือแบ่งเวลาไม่ดีนักจะไม่เหลือเวลาทำอย่างอื่น ซึ่งในบางครั้งทำให้ถูกมองว่าเห็นแก่ตัวและไม่ช่วยเหลือ ไม่เป็นส่วนหนึ่งของสังคมนั้น ๆ (คณะแพทย์มักถูกมองว่าเชิญไปร่วมงานอะไรของมหาวิทยาลัยแล้วมักไม่ค่อยร่วม มือ)
- สูญเสียความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล คนอื่นนอกสายอาชีพที่ไม่เข้าใจจะรู้สึกไม่ดีเวลาขอนัดเจอแล้วหมอขอเลื่อนนัด แบบไม่มีกำหนด หรือมีเวรกะทันหัน มีการตามตัว นัดเจอกันก็ลำบาก โทรไปหาก็บอกว่าติดเวร กำลังผ่าตัดบ้าง กำลังทำคลอดบ้าง คุยก็สั้น ๆ ถามคำตอบคำ (บางทีเพื่อนพี่โทรมา ด้วยความที่ไม่มีเวลาพี่ก็รีบถามว่า “มีธุระอะไรหรือเปล่า?” เพื่อนก็ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยดีว่า “ทำไม? ไม่มีธุระอะไรนี่จะไม่คุยเลยใช่มั้ย?” เป็นต้น) วันเกิดเพื่อน พ่อ แม่ทั้งทีแม้แต่โทรหาก็ไม่ทำ (พอดีปั๊มหัวใจคนไข้อยู่ที่ห้องฉุกเฉิน) โทรมาทีก็ดึกดื่น (ก็เพิ่งลงเวรอ่ะครับ)…โอย มีอีกหลายเหตุการณ์เลยครับ แฟนกันสมัย ม.ปลาย นี่เลิกกันไปหลายคู่ก็ตอนคนหนึ่งเรียนหมอนี่แหละครับ
- ความกดดันจากเวลาและภารกิจที่หลายครั้งไม่สามารถวางแผนชีวิตให้แน่นอนไปได้ เช่น พรุ่งนี้ต้องเข้าช่วยอาจารย์ผ่าตัด วันนี้ไม่ได้อยู่เวรก็จริง แต่ต้องรอรับผู้ป่วยที่จะมา รพ. รอผ่าตัดพรุ่งนี้ เพื่อซักประวัติ ตรวจร่างกาย ลงบันทึกในเวชระเบียน ฯลฯ ซึ่งบางครั้งก็ต้องรอกว่าคนไข้จะมา โดยที่ไปทำอย่างอื่นก็ไม่ได้ หรือจะสอบแต่ก็ต้องอยู่เวร (และไม่มีทางทราบล่วงหน้าว่าเวรวันนั้นจะยุ่งหรือไม่) ฯลฯ
- ความกดดันจากความรับผิดชอบและมโนธรรมส่วนบุคคล เช่น เย็บแผลคนไข้ไว้ 3 วันต่อมาคนไข้กลับมา รพ. เพราะมีก้อนเลือดคั่งใต้แผล (กลับไปเครียดครับ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเราห้ามเลือดไม่ดี หรือคนไข้ไปทำอะไรกับแผล หรือเขามีปัญหาเลือดไม่แข็งตัวแล้วตัวเขาไม่ทราบ ฯลฯ) คนไข้อายุยังน้อย (ไม่น่าตายง่าย ๆ) มาหัวใจหยุดเต้นในเวรเรา (ด้วยเหตุปัจจัยต่าง ๆ นาๆ) แล้วปั๊มหัวใจไม่ขึ้น เป็นต้นครับ
- การสอบครับ เรียนหมอนี่สอบถี่มาก และเนื้อหาก็เยอะแยะมากมาย รูปแบบการสอบนี่ก็หลากหลาย ทั้งกา ทั้งเขียน ทั้งปฏิบัติจริง ฯลฯ
- สุขภาพส่วนบุคคล บางคนนอนน้อยแล้วจะปวดหัว อยู่เวรทีไรก็เลยปวดหัววันรุ่งขึ้นทั้งวัน (แล้วคิดดูครับว่าต้องอยู่เวรประมาณ 3 วันครั้ง นานเป็นปี ๆ) บางคนแพ้แป้งในถุงมือผ่าตัด (ซึ่งไม่มีทางทราบล่วงหน้า จนกว่าจะสัมผัสแล้วเกิดอาการ แต่ก็ยังต้องเรียนทำคลอดและผ่าตัดตามหลักสูตร) บางคนก็เป็นโรคกระเพาะ (น้องลองกินข้าวสัก 3 คำ แล้วลุกไปวิดพื้นสัก 30 นาที (เหมือนไปปั๊มหัวใจคนไข้อ่ะครับ) แล้วกลับมากินอีกครึ่งจาน แล้วไปวิดพื้นอีก บางมื้อก็อดกินไปเลย ทำอย่างนี้สักสัปดาห์ละ 4-5 ครั้ง ต่อเนื่องสักเดือนสิครับ…หึ หึ…แต่เรียนหมอไม่ได้อยู่เวรแค่เดือนเดียวนะครับ)
- ผลการเรียนครับ บางคนเคยเรียนดีเด่นจาก ร.ร.เดิม มาก่อน พอมาเรียนหมอเจอเพื่อน ๆ เก่ง ๆ กันทั้งนั้น ผลการเรียนตัวเองจากที่ 1 เลยมาอยู่กลาง ๆ หรือค่อนมาล่าง ๆ คราวนี้ก็เครียดล่ะครับ
- ความมั่นใจในตัวเอง แต่พบว่าตนเองยังขาดความรู้ บางครั้งก็ทำให้เรากดดันนะครับ เช่น ตอบคำถามอาจารย์ หรือคนไข้และญาติไม่ได้ (อึ้งต่อหน้าเขาเลย แล้วก็กลับมาเครียด) หัตถการบางอย่างที่เคยทำได้แล้วในผู้ป่วยบางคนอยู่ดี ๆ ก็ทำไม่ได้ ก็ทำให้เครียดนะครับ รวมทั้งสภาพการทำงานด้วย เช่นเป็นปี 6 แล้ว ระหว่างดูคนไข้ร่วมกับปี 4-5 อยู่ พออาจารย์ถาม น้อง ๆ ตอบได้ เราตอบไม่ได้….ก็เครียดนะครับ หรือบางทีเรามีข้อสงสัยหรือไปถามพี่ ๆ หมอบางคนแล้วได้คำตอบกลับมาประมาณว่า “ปี… แล้วไม่ใช่เหรอ น่าจะรู้แล้วนะ” “อะไรกัน ไม่รู้ได้ยังไง” แบบนี้ก็ทำให้เครียดได้นะครับ
- ความผิดพลาดในการรักษาพยาบาล ไม่ว่าจะเกิดจากเหตุสุดวิสัย หรือบาปบริสุทธิ์ (ฝีมือยังไม่กล้าแข็ง แต่อยู่ในภาวะที่ต้องทำ แล้วได้ผลออกมาไม่ดีดังคาด หรือความรู้เท่าไม่ถึงการณ์) ก็ทำให้หมอน้อยทั้งหลายเครียดครับ
เขียนโดย Bankss ที่ 06:46 0 ความคิดเห็น